อัปเดทเทคโนโลยีพลาสติก ช่วยลดขยะ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ไม่รู้จบ

อัปเดทเทคโนโลยีพลาสติก ช่วยลดขยะ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ไม่รู้จบ
อัปเดทเทคโนโลยีพลาสติก ช่วยลดขยะ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ไม่รู้จบ

อัปเดทเทคโนโลยีพลาสติก ช่วยลดขยะ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ไม่รู้จบ

ในปี 2026 ที่จะถึงนี้กำลังถูกจับตามองในฐานะหมุดหมายสำคัญที่กำลังจะทำให้อุตสาหกรรมพลาสติกและปิโตรเคมีระดับโลกนับถอยหลังสู่จุดเปลี่ยน นับว่าช่วงเวลานี้เปรียบเสมือนรอยต่อการเปลี่ยนผ่านจากยุคที่ความยั่งยืนเป็นเพียงแค่ทางเลือก ไปสู่ยุคที่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกต้นน้ำไปจนถึงเจ้าของแบรนด์สินค้าปลายน้ำ All Around Plastics ได้ถอดรหัส 4 เทคโนโลยีที่จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานพลาสติกอย่างยั่งยืน ดังนี้


 

1. ยุคทองของพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง 

การรีไซเคิลพลาสติกเหลือใช้จะเปลี่ยนจากยุคที่เน้นแค่ ’ปริมาณ’ ไปสู่ ‘คุณภาพ’ แบรนด์ระดับโลกจะไม่ได้มองหาแค่เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) เกรดทั่วไปสำหรับผลิตถุงขยะหรือกระถางต้นไม้ แต่ต้องการ PCR ที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ในระดับที่สามารถนำกลับมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคได้ ซึ่งความท้าทายหลักคือกลิ่นตกค้างจากสารระเหยในขยะเดิมที่ฝังแน่นในเนื้อพลาสติก
ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีการกำจัดกลิ่นขั้นสูง (Deodorization Technology) และการล้างทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพสูง (Super-Cleaning) ที่สามารถชะล้างสารปนเปื้อนระดับโมเลกุล ทำให้ PCR สามารถนำกลับมาใช้ในบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสร่างกาย (Personal Care) ได้โดยไม่กระทบต่อกลิ่นหอมของผลิตภัณฑ์ การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกขับเคลื่อนโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Nestlé ที่ตั้งเป้าใช้ PCR 35-50% ในขวดน้ำ Unilever ที่ 25% และ SC Johnson ที่ 40% ภายในปี 2025 ส่งผลให้ราคาของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High-Quality PCR) มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นและกลายเป็นทรัพยากรที่หายากและมีมูลค่า

2. เทคโนโลยีการรีไซเคิลขั้นสูง สู่การหมุนเวียนพลาสติกได้ไม่สิ้นสุด

เมื่อการรีไซเคิลเชิงกลแบบดั้งเดิมเริ่มจนมุมต่อข้อจำกัดกับการจัดการพลาสติกเหลือใช้ที่ซับซ้อน เช่น ถุงขนมขบเคี้ยวที่มีวัสดุหลายชั้น หรือพลาสติกที่ปนเปื้อนเศษอาหาร ในช่วงปีต่อไปนี้โลกจะมุ่งสู่เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเพื่อปิดวงจรรีไซเคิลอย่างสมบูรณ์ เริ่มต้นที่การมาถึงของ Digital Product Passport (DPP) หรือ "พาสปอร์ตดิจิทัล" ที่จะจบการฟอกเขียว (Greenwashing) ด้วยการบันทึกข้อมูลวัตถุดิบ ปริมาณรีไซเคิล และคาร์บอนฟุตพรินต์ ผ่านระบบเพื่อยืนยันความโปร่งใสซึ่งจะกลายเป็นแนวทางใหม่สำหรับผู้ส่งออกที่ต้องมีข้อมูล Digital Traceability เพื่อผ่านด่านศุลกากรในตลาดยุโรป
ควบคู่ไปกับการขยายตัวของการรีไซเคิลขั้นสูง (Advanced Recycling) โดยเฉพาะเทคโนโลยี Pyrolysis ที่จะยกระดับจากโรงงานต้นแบบสู่ระดับอุตสาหกรรม เพื่อเปลี่ยนขยะพลาสติกที่รีไซเคิลยากให้กลับเป็นน้ำมันแนฟทา (Circular Naphtha) ซึ่งจะกลายเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่ปลอดภัย เทียบเท่าของใหม่แบบเกรดอาหาร (Food Grade) นอกจากนี้ การออกแบบบรรจุภัณฑ์จะถูกปฏิวัติสู่เทคโนโลยี Mono-Material หรือการใช้วัสดุเพียงชนิดเดียวกันทั้งบรรจุภัณฑ์ เช่น PE หรือ PP ล้วน เพื่อให้การรีไซเคิลเกิดขึ้นได้จริง 100% โดยใช้นวัตกรรมเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษ เช่น MDOPE หรือ BOPE มาทดแทนชั้นฟิล์มโลหะหรือวัสดุต่างชนิดที่เคยเป็นอุปสรรคในการรีไซเคิล

3. การปฏิวัติพลาสติกชีวภาพแบบไร้รอยต่อ

แม้ตลาดพลาสติกชีวภาพจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่จุดโฟกัสในปีหน้า จะเปลี่ยนจากการเน้นเรื่องการย่อยสลาย (Compostable) ซึ่งเหมาะกับงานเฉพาะกลุ่ม เช่น ถุงขยะเศษอาหาร ไปสู่การลดคาร์บอนตั้งแต่ต้นทางด้วยพลาสติกชีวภาพที่มีโครงสร้างเคมีเหมือนพลาสติกทั่วไป เช่น Bio-PE และ Bio-PP แต่ผลิตจากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย หรือ เอทานอล
ความโดดเด่นของความไร้รอยต่อโดยโซลูชันพลาสติกชีวภาพแบบใหม่นี้ ผู้ผลิตสามารถนำไปใช้กับเครื่องจักรเดิมได้ทันทีโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการหรือลงทุนในเครื่องจักรเพิ่ม และผู้บริโภคยังสามารถทิ้งรวมกับพลาสติกทั่วไปเพื่อนำไปรีไซเคิลได้โดยไม่ต้องแยกประเภทขยะชีวภาพโดยเฉพาะเพิ่มเติม ที่สำคัญคือมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่เป็นลบ (Negative Carbon Footprint) ตั้งแต่หน้าโรงงาน เนื่องจากการใช้วัตถุดิบจากพืชที่มีการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ขององค์กรชั้นนำได้ดีกว่าเดิม

4. พลาสติกที่เน้นความทนทาน ใช้นาน ใช้คุ้ม

นิยามความยั่งยืนใหม่ในปี 2026 จะขยายขอบเขตนิยามการออกแบบผลิตภัณฑ์ไปสู่ความทนทาน ที่มุ่งเน้นการทำให้ผลิตภัณฑ์ใช้งานได้นานที่สุดและการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด ด้วยการใช้วัสดุเกรดพิเศษ เช่น PE100และ PE112 ที่ได้รับการการันตีแล้วว่ามีความทนทานเหนือกว่ามาตรฐาน สามารถยืดอายุการใช้งานท่อส่งน้ำหรือก๊าซได้ยาวนานกว่าที่เคย ซึ่งจะช่วยลดงานซ่อม และลดการใช้ทรัพยากรผลิตสินค้าใหม่ได้นั่นเอง
นอกจากนี้ เทรนด์การลดใช้ทรัพยากรจะถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเม็ดพลาสติกที่มีความแข็งแรงพิเศษ ซึ่งช่วยให้ให้อุตสาหกรรมสามารถผลิตชิ้นงานที่บางลง น้ำหนักน้อยลง แต่ยังคงความแข็งแรงทนทานเท่าเดิมได้ การลดความหนาของผนังขวดหรือถังบรรจุภัณฑ์ลงเพียงไม่กี่ไมครอน เมื่อคูณด้วยจำนวนการผลิตมหาศาล จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดปริมาณพลาสติกใช้แล้วได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

เจาะลึก SCGC ผู้นำวงการพลาสติกที่ก้าวทันทุกเทรนด์โลก

ในฐานะผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน SCGC ได้วางหมากกลยุทธ์ที่สอดรับกับทั้ง 4 เทคโนโลยีข้างต้นด้วยนวัตกรรม SCGC GREEN POLYMER™ โดยเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาสำคัญเรื่อง "กลิ่น" ในพลาสติกรีไซเคิล ด้วยการพัฒนา High Quality Odorless PCR Resin เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่น ความสำเร็จนี้พิสูจน์ได้จากการได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง LION ในการผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับน้ำยาซักผ้าเปา และครีมอาบน้ำโชกุบุสซึ รวมถึง Unilever ที่เลือกใช้กับขวดน้ำยาปรับผ้านุ่ม คอมฟอร์ท น้ำยาล้างจานซันไลต์ ไปจนถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามอย่างขวดโลชันวาสลีน ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้พลาสติกรีไซเคิลสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ เข้าสู่ตลาดสินค้า Personal Care ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ผ่านการเข้าถือหุ้นในบริษัทด้านรีไซเคิลระดับโลกในยุโรปอย่าง Kras จากประเทศเนเธอร์แลนด์ Sirplaste ในประเทศโปรตุเกส เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความต้องการตลาดที่จะพุ่งสูงขึ้นในอนาคต



ในด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง  (Advanced Recycling) เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างครบวงจร SCGC ได้ก่อตั้งบริษัท Circular Plas พร้อมผนึกกำลังกับ Toyo Engineering จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อขยายกำลังการผลิต Circular Naphtha จากเทคโนโลยี Advanced Recycling เปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วที่รีไซเคิลยากให้กลับเป็นวัตถุดิบตั้งต้น ซึ่งล่าสุดได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารภายใต้แบรนด์คนอร์ สำหรับผู้ประกอบการมืออาชีพ (Knorr Professional) จากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล Food Grade ครั้งแรกในอาเซียน อีกทั้งยังผ่านการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล ISCC PLUS ตลอดห่วงโซ่อุปทานรายแรกในอาเซียน


นอกจากนี้ SCGC ยังได้พัฒนาโซลูชันสำหรับ Recyclable Packaging เพื่อรองรับเทรนด์ Mono-Material โดยใช้นวัตกรรมสารเคลือบ BWO1501G และเม็ดพลาสติก H619F (MDOPE) เปลี่ยนถุงแบบหลายชั้นให้เป็นวัสดุชนิดเดียวที่รีไซเคิลได้ 100% ช่วยส่งเสริมกระบวนการรีไซเคิลตั้งแต่ต้นทางให้กลายเป็นเรื่องที่สามารถเป็นไปได้จริง
อีกทั้งยังได้คิดค้นเทคโนโลยี SMX™ ผลิตเม็ดพลาสติกที่ให้ความแข็งแรง ทนทานเป็นพิเศษ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถลดความหนาของผนังชิ้นงานบรรจุภัณฑ์ลงได้ถึง 20% โดยไม่สูญเสียความคุณสมบัติความแข็งแรงแต่อย่างใด เหมาะสำหรับการใช้งานบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภคได้เป็นอย่างดี
สำหรับด้านไบโอพลาสติก SCGC ได้สร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ด้วยการร่วมทุนกับ Braskem ผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลก เพื่อตั้งโรงงานผลิต Bio-Ethylene ในประเทศไทย โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อผลิตเม็ดพลาสติก I’m green™ Bio-PE ที่มีคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นลบ (Negative Carbon Footprint) โดยใช้วัตถุดิบจากพืชผลทางการเกษตรของไทย ซึ่งจะเป็น Drop-in Solution ที่สำคัญสำหรับตลาดเอเชีย ช่วยให้เจ้าของแบรนด์สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทันที

บทสรุปแนวโน้มเทคโนโลยีพลาสติกที่พร้อมตอบโจทย์ทุกมิติ

ในปี 2026 จะเป็นปีที่เส้นแบ่งระหว่าง "การทำธุรกิจ" และ "การดูแลสิ่งแวดล้อม" จางหายไปจนกลายเป็นเรื่องเดียวกันอย่างสมบูรณ์ กฎระเบียบใหม่จะไม่ใช่เพียงแค่ข้อบังคับทางกฎหมาย แต่จะเป็นตัวคัดกรองผู้เล่นในสนามการค้าระดับโลก ธุรกิจที่ปรับตัวได้ช้าอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและการถูกกีดกันทางการค้า ในขณะที่ผู้ที่เตรียมพร้อมจะสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์
การเตรียมความพร้อมของ SCGC ผ่านการตอบรับทั้ง 4 เทคโนโลยีที่กำลังมานี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ไม่ได้แค่วิ่งตามกระแส แต่กำลังทำหน้าที่เป็น Solutions Provider ที่ช่วยให้พันธมิตรทางธุรกิจสามารถก้าวข้ามกำแพงและเติบโตได้อย่างมั่นคงในระดับโลก เพราะ SCGC ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตเม็ดพลาสติก แต่เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่พร้อมจะร่วมออกแบบอนาคตที่ยั่งยืนไปพร้อมกับเจ้าของแบรนด์และผู้ผลิตทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ผู้บริโภค แต่ยังส่งเสริมการเติบโตของผู้ประกอบการ และยังต้องเป็นมิตรต่อโลกอย่างแท้จริง